วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ประวัติจังหวัดชัยภูมิ


ประวัติจังหวัดชัยภูมิ
        
         สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองชัยภูมิ ปรากฏในทำเนียบแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่าเป็นเมืองขึ้นกับเมืองนครราชสีมาแต่ต่อมาผู้คนได้อพยพออกไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินที่อื่น และ พ.ศ.2360 "นายแล"ข้าราชการสำนักเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทร์ได้อพยพครอบครัวและบริวารเดินทางข้ามลำน้ำโขง มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านหนองน้ำขุ่น (หนองอีจาน) ซึ่งอยู่ในบริเวณท้องที่อำเภอสูงเนิน
 จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2362 เมื่อมีคนอพยพเข้ามาอยู่มาก นายแลก็ได้ย้ายชุมชนมาตั้งใหม่ที่บ้านโนนน้ำอ้อม บ้านชีลอง ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิ 6 กิโลเมตร นายแลได้เก็บส่วยผ้าขาวส่งไปบรรณาการเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ จนได้รับบำเหน็จความชอบแต่งตั้งเป็น "ขุนภักดีชุมพล" ในปี พ.ศ. 2365 นายแลได้ย้ายชุมชนอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากที่เดิมกันดารน้ำ มาตั้งใหม่ที่บริเวณบ้านหลวง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหนองปลาเฒ่ากันหนองหลอด เขตอำเภอเมืองชัยภูมิ ปัจจุบัน และได้หันมาขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา และส่งส่วยทองคำถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ยอมขึ้นต่อเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์อีกต่อไปจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้ายกบ้านหลวงเป็นเมืองชัยภูมิ และแต่งตั้งขุนภักดีชุมพล (แล) เป็น "พระยาภักดีชุมพล" เจ้าเมืองคนแรกต่อมาเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ได้ก่อการกบฏ ยกทัพเข้ามาหมายจะตีกรุงเทพฯ โดยหลอกหัวเมืองต่าง ๆ ที่เดินทัพมาว่าจะมาช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษ จนกระทั่งเจ้าอนุวงศ์สามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้เมื่อปี พ.ศ. 2369 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งต่อมา เมื่อความแตกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ได้กวาดต้อนชาวเมืองนครราชสีมา เพื่อนำไปยังเมืองเวียงจันทร์ เมื่อไปถึงทุ่งสัมฤทธิ์ หญิงชายชาวเมืองที่ถูกจับโดยการนำของคุณหญิงโม ภรรยาเจ้าเมืองนครราชสีมา ได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้ พระยาภักดีชุมพลเจ้าเมืองชัยภูมิพร้อมด้วยเจ้าเมืองใกล้เคียงได้ยกทัพออกไปสมทบกับคุณหญิงโม ตีกระหนาบทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์จนแตกพ่ายไปฝ่ายกองทัพลาวส่วนหนึ่งล่าถอยจากเมืองนครราชสีมาเข้ายึดเมืองชัยภูมิไว้ และเกลี้ยกล่อมให้พระยาภักดีชุมพล (แล) เข้าร่วมเป็นกบฏด้วย แต่พระยาภักดีชุมพลไม่ยอมเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์เกิดความแค้น จึงจับตัวพระยาภักดีชุมพลมาประหารชีวิตที่บริเวณใต้ต้นมะขามใหญ่ริมหนองปลาเฒ่า ซึ่งต่อมาชาวชัยภูมิได้ระลึกถึงคุณความดีที่ท่านมีความซื่อสัตย์และเสียสละต่อแผ่นดิน จึงได้พร้อมใจกันสร้างศาลขึ้น ณ บริเวณนั้น ปัจจุบันทางราชการได้สร้างศาลขึ้นใหม่เป็นศาลาทรงไทยชื่อว่า "ศาลาพระยาภักดีชุมพล (แล)" มีรูปหล่อของท่านอยู่ภายใน เป็นที่เคารพกราบไว้และถือเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของจังหวัด ตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดชัยภูมิประมาณ 3 กิโลเมตร

8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

        

         8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น

         เพื่อนๆ หลายคนมีปัญหากับการอ่านหนังสือสอบกันเป็นจำนวนมากที่เดียว ไม่มีสมาธิบ้าง ไม่รู้จักเริ่มต้นอ่านตรงไหน โฟกัสจุดไหนดี วันนี้ ทีนเอ็มไทยมี เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น มาฝากกันคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ ^^ 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น
 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น
1. อ่านหน้าสรุปก่อน
อ่านตอนจบก่อนเลย ผู้เขียนหนังสือส่วนใหญ่ชอบเขียนให้ดูลึกลับ ชักแม่น้ำทั้งห้า เขียนอธิบายอย่างละเอียดยิบ ใช้ประโยคที่ต้องอ่านซ้ำสองสามรอบถึงจะเข้าใจ โดยเฉพาะในหน้าแรก ๆ ของบท เราไม่จำเป็นต้องรู้ประวัติชีวิตของผู้เขียน บทนำ ซึ่งจะเป็นการเขียนเกริ่นแนะนำให้อ่านต่อไปเรื่อย ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่
ในทางกลับกัน บทส่งท้าย หรือบทสรุป เป็นสิ่งที่ต้องอ่าน โดยปกติแล้วจะเป็นส่วนที่ผู้เขียนสรุปข้อมูลทั้งหมดที่ได้กล่าวมา อีกทั้ง หากเราอ่านบทสรุปก่อน แล้วกลับมาอ่านหน้าแรกอีกครั้งก็ทำให้เราสามารถอ่านได้เข้าใจมากขึ้น แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องอ่านหนังสือก่อนเพื่อไปเรียนในคาบถัดไป การอ่านส่วนบทสรุปก็ทำให้เราเห็นภาพคร่าวๆของเนื้อหาที่ต้องเรียนแล้ว
2. ใช้ปากกาไฮไลต์เพื่อนเน้นใจความสำคัญ
ข้อผิดพลาดที่หลายคนทำ คือการเลิกไฮไลต์ เนื่องจากครูผู้สอนกล่าวถึงแทบทุกอย่างในหน้าหนังสือ เลยไฮไลต์ตาม ปรากฏว่าไฮไลต์ไปหมดทั้งหน้า ซึ่งกลายเป็นการกระทำที่ไม่เกิดประโยชน์ไป จึงขี้เกียจไฮไลต์อีก และเลิกทำไปในที่สุด
ความจริงแล้ว การไฮไลต์ข้อความนั้นมีประโยชน์มาก “หากใช้อย่างถูกวิธี” ไม่ควรไฮไลต์ทุกอย่างในหน้า และไม่ควรไฮไลต์น้อยจนเกินไป สิ่งที่ควรทำคือการไฮไลต์ข้อความที่ผู้เขียนกล่าวสรุป โดยปกติแล้วผู้เขียนมักจะกล่าวประเด็นซ้ำไปมาหลายหน้าและให้ข้อมูลสรุปประเด็นที่ย่อหน้าสุดท้าย ให้ไฮไลต์บริเวณนั้น เมื่อเราเปิดหนังสือมาอ่านอีกครั้ง เราจะสามารถทราบทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว
3. ดูสารบรรณและหัวข้อย่อย
นักศึกษาที่เรียนในมหาวิทยาลัยมักประหลาดใจเมื่อทราบข้อนี้ว่า อาจารย์ส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ได้อ่านหนังสือจนจบเล่ม แต่สิ่งที่พวกท่านทำนั้น คือการดูสารบรรณและอ่านหัวข้อที่น่าสนใจหรือเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทำเท่านั้น หรือไม่ก็ใช้วิธีการ อ่านผ่านๆอย่างรวดเร็ว (skimming) จนเมื่อเจอหัวข้อที่น่าสนใจจึงค่อยหยุดอ่านอย่างตั้งใจ ทำให้การอ่านั้นไม่น่าเบื่อ เพราะว่าเราจะได้อ่านสิ่งที่เราสนใจจริง ๆ เท่านั้นและยังทำให้เรารู้ใจความสำคัญของสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้อยู่ดี เพราะผู้เขียนมักจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญซ้ำ ๆ ในทุกส่วนของหนังสือ เทคนิคนี้ช่วยป้องกันอาการ “ตามองอ่านตัวหนังสือทุกบรรทัด แต่ใจความไม่เข้าหัวเลย” อ่านออกแต่สมองไม่ตอบรับว่าสิ่งที่อ่านไปนั้นคืออะไร เพราะเกิดจากการอ่านสิ่งที่เราไม่อยากอ่านนั่นเอง
 8 เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น
4. ขวนขวายกันสักนิด
แทนที่จะซึมซับทุกอย่างจากการอ่านหนังสือที่อาจารย์สั่งเท่านั้น ลองเปิดโลกใหม่ดูบ้าง หาหนังสือเล่มอื่นๆ ในห้องสมุด หรือในอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะไปที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียนมาอ่านดู ซึ่งหนังสือบางเล่มพูดถึงเล่มเดียวกันแต่เขียนได้น่าอ่าน อ่านเข้าใจง่าย มีภาพประกอบเพิ่ม สรุปแบบอ่านแล้วเข้าใจ ซึ่งจริง ๆ เนื้อหาก็เรื่องเดียวกับที่เรียนในห้อง
แต่ขึ้นชื่อว่าหนังสือเรียนก็รู้ๆ กันอยู่อ่านไปหลับไปเป็นธรรมดา ดังนั้นการหาความรู้ข้างนอกมาเสริมจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ง่าย และเข้าใจมากขึ้น บางทีอาจรู้ลึกกว่าที่เรียนในคาบเสียอีกนะ หนังสือประวัติศาสตร์ไทย ที่มีอยู่ในห้องสมุดอาจจะอ่านแล้วสนุกน่าอ่านกว่าหนังสือที่ใช้เรียนอยู่ก็ได้ การอ่านไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้สนุกได้โดยอัตโนมัติ หากเราไม่มองหาสิ่งที่เราอยากอ่านจริง ๆ เสียก่อน การอ่านจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเราไป
5. พยายามอย่าอ่านทุกคำ
หลายคนคิดว่าการอ่านทุกคำจะช่วยให้จดจำข้อมูลได้อย่างละเอียดยิบ ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมองจะได้รับข้อมูลมากเกินไปและเกิดความล้า เบื่อหน่ายจนตาลอยอ่านหนังสือไม่เข้าหัวในที่สุด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในประเภทนิยายมักจะถูกเขียนอธิบายซ้ำ ๆ เพราะผู้เขียนต้องการจะกล่าวอธิบายให้กระจ่าง แต่ใจความสำคัญจริง ๆ แล้วอยู่ที่บทสรุปเพียงไม่กี่ย่อหน้า หนังสือส่วนใหญ่ใส่ข้อมูลหลักฐานจนแน่นมากกว่าจะกล่าวถึงประเด็น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีและน่าสนใจ แต่ทุกหลักฐานที่อ้างนั้นก็กล่าวถึงประเด็นเดียว การอ่านเพิ่มเติมก็เป็นการย้ำถึงประเด็นเดิม ดังนั้นเลือกหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดแล้วอ่านบทต่อไปเถอะ
แม้แต่หนังสือประเภทนวนิยายก็อาจทำให้เราเบื่อได้เช่นกัน ในบางตอนที่ผู้เขียนอธิบายฉากอย่างละเอียดยิบ ให้ใช้วิธีการอ่านผ่าน ๆ (skimming) จนกว่าจะเจอฉากที่น่าสนใจและอ่านอย่างตั้งใจอีกครั้ง การทำเช่นนี้อาจจะทำให้พลาดส่วนสำคัญบางอย่างไป แต่ก็ทำให้เราอ่านต่อไปได้มาก ดีกว่าเบื่อและหยุดอ่านไป
6. เขียนสรุปมุมมองของผู้อ่าน
อดทนหน่อยอย่าเพิ่งเบื่อ! คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเขียน แต่การเขียนนั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการรวบรวมข้อมูลสำคัญในระยะเวลาอันสั้น หากเป็นไปได้ให้เขียนใจความสำคัญในแบบฉบับของเราใน 1 หน้ากระดาษ โดยพูดถึงประเด็นที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ ยกตัวอย่างสั้น ๆ และคำถามหรือความรู้สึกของเราที่ต้องการการค้นคว้าเพื่อหาคำตอบต่อไปให้ดียิ่งขึ้น
การเขียนมุมมองของผู้อ่านเช่นนี้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทราบถึงประเด็นสำคัญของหนังสือเช่นเดียวกับการไฮไลต์ข้อความ เมื่อใกล้ถึงช่วงสอบ จะเป็นการง่ายกว่าที่เราจะนั่งอ่านมุมมองสรุปของผู้อ่าน แทนที่จะพลิกตำราอ่านหนังสือทั้งเล่มเพื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง หากเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ เราสามารถอ่านรีวิวหนังสือจากผู้อ่านคนอื่น ๆ ในเว็บไซต์ เช่น Amazon เป็นการเสริมข้อมูลในมุมมองของผู้อ่านท่านอื่น ๆ ที่ได้รับจากหนังสือเล่มนั้นเช่นกัน
เคล็ดลับอ่านหนังสือยังไงให้จำเร็วและแม่น
7. อภิปรายกับผู้อื่น
คนส่วนมากไม่ชอบการทำงานกลุ่ม แต่การจับกลุ่มกันพูดถึงเนื้้อหาของหนังสือที่ต้องอ่านข่วยทำให้เราจำได้ง่ายขึ้น บางครั้งอาจพูดถึงหนังสือในแง่ตลก ๆ ก็จะทำให้เราจำประเด็นนั้นได้เมื่อเราอยู่ในห้องสอบ เพราะเราจะคิดถึงเรื่องตลกก่อน เป็นการใช้หลักการเชื่อมโยงข้อมูลที่ทำให้สมองของเราทำงานได้ง่ายขึ้น
การพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่อ่านช่วยทำให้เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากบางส่วนที่เรามองข้ามไป บางคนนั้นชอบเรียนรู้โดยการฟัง และมักจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้ยินข้อมูล ดังนั้นการพูดคุยสนทนาถกเถียงประเด็นที่อยู่ในหนังสือจะทำให้เราจำประเด็นสำคัญนั้นได้ดีเมื่อได้ฟังผ่านหู ทำให้เราสามารถระลึกถึงข้อมูลส่วนนั้นได้เมื่ออยู่ในการสอบ
8. จดคำถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน
หัวใจหลักของเทคนิคนี้ คือการตั้งคำถาม อย่าเชื่อว่าผู้เขียนนั้นเขียนได้ถูกต้องซะทีเดียว ให้จดจ่อกับสิ่งที่อาจและใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์ในการอ่าน เช่น
  • ทำไมผู้เขียนจึงกล่าวเช่นนั้น?
  • หลักฐานคำอธิบายนี้เป็นจริงหรือ?
  • ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งของผู้เขียนอย่างไร?
  • ผู้เขียนต้องการสื่อข้อความนี้ให้แก่ใคร?
คำถามอาจซับซ้อนกว่านี้หรือง่ายกว่านี้ ขึ้นอยู่กับหนังสือที่อ่าน เคล็ดลับเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราอ่านหนังสือและจดจำได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าอาจจะมีวิธีที่หลากหลายกว่านี้ แต่ละวิธีก็อาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าใครชอบวิธีไหน
กล่าวโดยสรุปก็คือ เราต้องกระตือรือร้นในการอ่าน ค้นหาสิ่งที่อยากอ่าน และทุ่มเทสักหน่อย และจดจำประเด็นสำคัญ หากทำได้เช่นนี้รับรองว่าหนังสือร้อยหน้าก็อ่านจบได้ในเวลาแค่แป๊บเดียวเท่านั้นเองจ้ะ
ขอบคุณที่มา LifeHack.org

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แมวแสนน่ารัก

             




แมวเหมียว เป็นสัตว์เลี้ยงอันดับต้นๆ ที่คนส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงกันในบ้าน ด้วยนิสัยขี้อ้อน น่ารัก และแสนซน จึงทำให้ใครหลายๆคนต้องหลงรัก แต่ยังมีอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าแมวหน้าตาบ้องแบ๊วที่คุณอาจจะยังไม่รู้ วันนี้จึงจะนำ 5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้องแมวแสนซน ซึ่งจะทำให้คุณได้รู้จักแมวเหมียวได้ดีมากยิ่งขึ้น

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แมวแสนน่ารัก

1. แมวมองเห็นในความมืดได้ดีกว่าคน 6 เท่า
แมวเป็นสัตว์ที่หากินในช่วงพลบค่ำและรุ่งสาง ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงต้องมีสายตาในยามกลางคืนที่ดี ตาของแมวมีเซลล์รูปแท่ง (rod cell) มากกว่าคน 6-8 เท่า ทำให้สายตาของแมวไวในที่มีแสงน้อยมากกว่า อีกทั้งตาของแมวที่มีรูปร่างเป็นวงรีและมีกระจกตาขนาดใหญ่ และมีชั้นเนื้อเยื่อทาพีตัม (tapetum) ที่จะสะท้อนแสงกลับสู่จอเรตินา ช่วยรวมแสงได้ดีขึ้น เนื้อเยื่อทาพีตัมช่วยเลื่อนความยาวคลื่นของแสงที่ตาแมวมองเห็น ทำให้เหยื่อหรือวัตถุอื่นๆ ในตอนกลางคืนดูเด่นชัดมากขึ้น และเซลล์แท่งพิเศษในตาแมวยังช่วยให้แมวมีสัมผัสความเคลื่อนไหวในความมืดได้ดีกว่าที่คนเราจะเห็นได้

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แมวแสนน่ารัก

2. ลิ้นแมวที่เป็นมากกว่าลิ้น

ลิ้นแมวก็มีหน้าที่รับรสเหมือนกับคน แต่ลิ้นของแมวมีความพิเศษกว่าคนตรงที่มันมีความสากบนลิ้น มีลักษณะเป็นตะขอ ตะขอเหล่านี้มีโครงสร้างเป็นโปรทีน ที่เรียกว่า เคราติน เหมือนกับ เส้นผม และเล็บของเรานั่นแหละ โดยลิ้นสากของแมวมีประโยชน์มากมายใช้แทนหวีทำความสะอาดขนที่ตายแล้วให้หลุดออก ใช้ลิ้นสากในการลอกเศษเนื้อออกจากกระดูกและกาง ใช้ลิ้นสากในการตวัดน้ำ อย่างหมาจะต้องงอลิ้นเป็นตัว J เพื่อจะได้ตวัดน้ำขึ้นมา แต่แมวแค่จุ่มลิ้น แล้วใช้ความสากของลิ้นดึงน้ำขึ้นมากินได้อย่างง่ายดาย แมวสามารถใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่มีฟันเลยสักซี่ แต่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่มีลิ้น


5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แมวแสนน่ารัก

3. แมวที่มีขนขาวและตาสีฟ้า มักจะหูหนวก
แมวสีขาวล้วน ดวงตาสีฟ้า และอาการหูหนวกแต่กำเนิดในแมวมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่เนื่องจากชั้น Tapetum Lucidum ซึ่งเป็นชั้นที่ฉาบเนื้อเยื้อในดวงตา ผลิตขึ้นจากเซลล์ต้นกำเนิด stem cell เดียวกับ melamocytes หรือเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีให้แก่ผิวหนังและเส้นขน ขณะที่อาการหูหนวกแต่กำเนิด จะเป็นผลมาจากการขาดแคลนชั้นเซลล์ของหูชั้นใน ซึ่งผลิตขึ้นจากเซลล์ต้นกำเนิดแหล่งดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน โดยแมวตาสองสีจะมีโอกาสหูหนวกเฉพาะหูข้างเดียวกันกับดวงตาสีฟ้า ส่วนหูข้างดวงตาสีเหลืองมักได้ยินปกติ แต่ไม่เสมอไปที่แมวตาสีฟ้าจะหูหนวกโดยกำเนิด โดยเฉพาะหากแมวต่างพ่อต่างแม่ เนื่องจากความผิดปกติดังกล่าวเกิดจากพันธุกรรมที่ได้รับสืบทอดกันมาจากผู้ให้กำเนิด

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แมวแสนน่ารัก

 4. เสียงครางของแมวไม่ได้บ่งบอกว่ามีความสุขเสมอไป
การที่แมวทำเสียงครางนั้น เพราะเป็นเสียงแรกที่แมวสามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะในขณะนั้น พวกมันยังไม่สามารถทำเสียงสูง หรือ เสียงต่ำได้ จึงทำให้ได้ยินเสียงครางบ่อยๆ และเข้าใจว่าแมวกำลังมีความสุขนั่นเอง การร้องครางเป็นการส่งเสียงที่ไม่ปกติ เนื่องจากเป็นเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งการหายใจเข้าและหายใจออก การกระตุ้นกล้ามเนื้อบางส่วนในลำคอตามการเคลื่อนไหวของกะบังลมทำให้เกิดความแปรปรวนของอากาศภายในอกของตัวแมว ซึ่งส่งผลให้เกิดเสียงคราง เสียงครางสามารถสื่อสารได้หลากหลายความหมาย เช่น อยากให้แม่แมวมาดูแล ในแมวโตมักส่งเสียงนี้เวลาที่มีความสุข เมื่อเจอกับเจ้าของหรือแมวตัวอื่นที่เป็นมิตร โดยบางตัวอาจแสดงอาการกลิ้งไปมาหรือเอาคางมาถูขณะที่ส่งเสียง ในทางตรงกันข้ามแมวที่บาดเจ็บหรือป่วยหนักมาก ๆ อาจส่งเสียงครางแบบนี้ได้เช่นกัน แต่ลักษณะของเสียงจะยาวและต่อเนื่องมากกว่าปกติ บางครั้งก็จะทำเสียงครางเบาๆก็เพื่อปลอบใจตัวเองเมื่อรู้สึกเจ็บหรือหวาดกลัว

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แมวแสนน่ารัก

5. แมวเลียขนนานๆ ใช่แค่ทำความสะอาดร่างกาย
เรามักจะคิดว่าส่วนใหญ่ เจ้าแมวเลียขนตัวเองเพื่อทำความสะอาดขนของตัวเอง แต่แท้จริงแล้วยังมีเหตุผลอีกมากมายที่น้องแมวเลียขน เช่น เลียขนเพื่อดึงรั้งขนที่ตายแล้วให้หลุดออก และเป็นการกระตุ้นให้ต่อมรากขน ให้มีการเจริญใหม่ของชั้นผิวหนังและขนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้ตัวเจ้าเหมียวกันน้ำได้ดีและไม่เปียกฝน เลียขนเพื่อระบายความร้อนเนื่องจากแมวมีต่อมเหงื่อที่อุ้มเท้าเท่านั้น การหอบจึงไม่สามาระบายความร้อนได้เพียงพอ การเลียขนตัวให้เปียกจึงเป็นอีกวิธีในการคายความร้อน หากแมวถูกแสงแดดพวกมันจะเลียขนของตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อระบายความร้อนนะ หากที่เลียขนนั้นเพราะว่าแสงแดดที่ส่องลงมา ทำปฏิกิริยากับขนของแมวจนเกิดสารอาหารที่จำเป็นชนิดหนึ่งซึ่งก็คือ วิตามินดี แมวจะรับวิตามินดีด้วยการเอาลิ้นไปเลียขนที่ถูกแสงแดด เพื่อรับสารอาหารชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง





10 เทคนิคเรียน ให้เป็นคนเรียนเก่ง

           

                      10 เทคนิคเรียน ให้เป็นคนเรียนเก่ง



10 เทคนิคเรียน ให้เป็นคนเรียนเก่ง



เทคนิคเรียน : 1. คนเรียนเก่ง แบ่งเวลาเป็น
เคล็ดลับข้อแรก ถึงแม้ว่าเราจะชอบเล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ฯลฯ ขอแค่เราแบ่งเวลาให้เป็น เวลาไหนเล่นก็เล่น เวลาไหนเรียนก็เรียน จะเล่นวันละกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ขอเจียดเวลามาเรียนนอกเหนือจากในห้องเรียนสักวันละ 30 นาที ? 1 ชั่วโมงก็พอแล้ว (เสาร์-อาทิตย์ไม่ต้องก็ได้) ทำง่ายๆแต่ได้ผลชงัดนัก
เทคนิคเรียน : 2. คนเรียนเก่ง ทบทวนล่วงหน้า-หลังเรียน เข้าหัวไม่ต้องจำ
เชื่อว่าข้อนี้ถูกใจคนขี้เกียจจำไม่น้อย (นายติวฟรีเองก็ด้วย หึหึ) เคล็ดลับง่ายๆ อ่านล่วงหน้าก่อนเข้าห้องเรียนสัก 10-15 นาที อ่านผ่านๆแค่หัวข้อก็พอว่าวันนี้เราจะเรียนอะไรบ้าง พอตกเย็น ก็อ่านทบทวนผ่านๆอีกรอบว่าวันนี้เราเรียนอะไรไป วันต่อวัน มันจะเข้าไปอยู่ในหัวเองไม่ต้องออกแรงจำให้เมื่อย แถมทำบ่อยๆมันจะประติดประต่อกันเองทั้งเทอม โอ้ สบายเลย
เทคนิคเรียน : 3. คนเรียนเก่ง ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
แม้หลายๆคนจะรู้อยู่ว่าดินพอกหางหมูไม่ดี แต่ก็เชื่อว่าทุกๆคนก็เคย หรือยังมีดินพอกหางหมูอยู่ทั้งนั้น นายติวฟรีเองเคยพอกนานถึงสองเดือนด้วยซ้ำ มันลำบากมากที่ต้องมาตามแก้ดินพอกหางหมู บางครั้งใช้เวลามากกว่าเดิม 3 เท่าบ้าง 4 เท่าบ้าง รู้งี้ทำซะเลยไม่ปล่อยให้พอกก็ดีหรอก T_T
ทคนิคเรียน : 4. คนเรียนเก่ง ไม่เรียนอัดก่อนสอบ
ข้อนี้ตามสองข้อที่แล้วมาติดๆ ถ้าน้องปล่อยพอกไว้ตั้งแต่ต้นเทอม ยันปลายเทอม แล้วมาอัดอ่านทีเดียวก่อนสอบ มันจะไม่ทันเอา หลายเรื่อง หลายวิชา ถ้าใครเคยเรียนอัดก่อนสอบคงรู้ดี (นายติวฟรีก็เคยทำ) ว่า อ่านบทแรกก็ยังโออยู่ แต่พออ่านบทสอง ดั๊นลืมบทแรก พออ่านบทสาม ดั๊นลืมบทสอง ฯลฯ แบบนี้เรียกว่า ได้หน้าลืมหลัง มาดูตัวอย่างสดๆกันตรงนี้เลย นายติวฟรีถามว่า เคล็ดลับข้อแรกคืออะไร (ห้ามย้อนกลับไปอ่านนะ) เชื่อว่าตอบไม่ได้กันเกินครึ่ง อิอิ จริงๆแล้วมันมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนอยู่นะว่า สมองของคนเรา จะสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้ดีโดยค่อยๆจดค่อยๆจำสะสมไปเรื่อยๆ ถ้ามาพยามจดจำในระยะเวลาสั้นๆมันจะไม่เข้าหัว ขนาดไอน์สไตน์ฉลาดเป็นกรด ก็ยังจำเยอะๆในเวลาสั้นๆไม่ไหวเลย
เทคนิคเรียน : 5. คนเรียนเก่ง ลงมือทำโจทย์ แบบฝึกหัด การบ้าน
น้องๆหลายคนมองข้ามการทำโจทย์และแบบฝึกหัดต่างๆไปโดยสิ้นเชิง แล้วกลับไปให้ความสำคัญกับการเรียนเนื้อหา หรือทฤษฎีต่างๆ หลายๆคนหนักข้อ แบบฝึกหัดข้อแรกที่ได้ทำคือในห้องสอบนั่นเอง แล้วมันจะทำได้ยังไง T_T พอออกมาจากห้องสอบก็น้ำตาตกในทำไม่เป็น นักฟุตบอลเก่งๆอย่างเมสซี่ เขามีความลับในความเก่งซ่อนอยู่ นั่นคือ เขาใช้เวลาเรียนทฤษฎีนิดเดียว เอาให้ได้ครบสักรอบสองรอบก็พอ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปทุ่มเทให้กับการซ้อมในสนาม (ทำแบบฝีกหัด) อย่างหนักทุกวันๆ ถ้าอยากเรียนเก่งเหมือนเมสซี่เล่นบอลเก่ง เราก็ต้องขยันทำแบบฝึกหัดเยอะๆเข้าไว้ ^^
เทคนิคเรียน : 6. คนเรียนเก่ง ทำ mindmap เรียนรู้จากภาพใหญ่ไปภาพเล็ก
มันจะง่ายกว่าเยอะมากถ้าเรามองความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งหมดโดยรวม ว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วมีหัวข้ออะไรบ้าง แต่ละหัวข้อเกี่ยวข้องกันอย่างไร อย่างการทำ mindmap นั้นช่วยได้มากๆ ที่สำคัญทำง่ายด้วย ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องยาก แค่มีกระดาษกะปากกา ก็สามารถทำเองได้แล้ว
10 เทคนิคเรียน ให้เป็นคนเรียนเก่ง


เทคนิคเรียน : 7. คนเรียนเก่ง ทำสรุป/ช้อตโน้ตด้วยตัวเอง
การทำสรุปหรือช้อตโน้ตจะเป็นเสมือนการทบทวนและสรุปเนื้อหาด้วยตัวเอง น้องๆจะมีสรุปของเพื่อนที่เก่งๆก็ได้ แต่สำคัญคือ ให้ทำเวอร์ชันของตัวเองด้วย (เขียนสรุปจากสรุปของเพื่อนก็ได้นะ) แค่การทำก็เหมือนว่าได้ทบทวนไปแล้วรอบนึง ที่สำคัญคือ เมื่อตัวเองมาอ่านสรุปของตัวเองแล้วนั้น มันจะจำได้ชัดเจนมากกว่าการอ่านสรุปของคนอื่นมากๆ ยิ่งถ้าเขียนสรุปด้วยปากกาหลายสี วาดรุปน่ารักๆลงไป บางครั้งในห้องสอบ จำได้ด้วยแน่ะ ว่าตรงนี้เราสรุปด้วยปากกาสีอะไร วาดรูปอะไรลงไป
เทคนิคเรียน : 8. คนเรียนเก่ง ติวเป็นกลุ่มกับเพื่อน ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ
การอ่านคนเดียวบางครั้งเราก็มองข้ามเรื่องสำคัญบางเรื่องไป การจับกลุ่มกะเพื่อน ติว หรือผลัดกันถามตอบ ก่อนสอบ จะทำให้เราได้ในส่วนที่เรามองข้ามไป ถึงบางอ้อหลายจุด บางครั้งการจับกลุ่มถามตอบก่อนเข้าห้องสอบไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้เราจำอะไรดีๆได้มากกว่าที่คิดอีกนะ
เทคนิคเรียน : 9. มั่นใจในตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองไม่เก่งเรียนยังไงก็ไม่ได้
ข้อห้ามที่สำคัญมากๆ ห้ามคิดว่าตัวเองไม่เก่งแล้วไม่สามารถทำได้เด็ดขาด เด็กไม่เก่งก็มีวิธีเรียนดีของเด็กไม่เก่งเหมือนกัน ท้อได้แต่ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด!
เทคนิคเรียน : 10. คนเรียนเก่ง ดูแลตัวเอง กินให้พอ นอนให้พอ
หลายๆคนคิดว่า นี่คือเคล็ดลับตรงไหนเนี่ย แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นสุดยอดเคล็ดลับ ที่ทำให้น้องเก่งจากภายใน ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ กินอิ่มนอนหลับ จะส่งผลให้ สมองปลอดโปร่งตามไปด้วย พอสมองปลอดโปร่ง จะแล่นมาก จำอะไรได้ง่ายกว่า เร็วกว่า เยอะกว่า ไม่ลองไม่รู้นะเออ

*จดเลคเชอร์วิชาเรียน แบบขั้นเทพ! >>http://teen.mthai.com/education/40006.html <<

หอไอเฟล

     
                                                          หอไอเฟล (Eiffel Tower)






          เรามาทำความรู้จักกับหอไอเฟลกันนิดนึง หอไอเฟลเป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนน ชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอคอยแห่งนี้เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ“กุสตาฟ ไอเฟล” เป็นวิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เป็นปรมาจารย์ในด้านการก่อสร้างด้วยเหล็กและมีความสามารถในการสร้างสะพาน เป็นต้นว่า สะพานข้ามแม่น้ำดูโร (Douro) ในตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสะพานที่มีช่วงกว้างที่สุดในเวลานั้น ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นงานศิลปะชิ้นเอกในงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1890 เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 100 ปี แห่งการปฏิวัติประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวย และความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมของประเทศ

     หอไอเฟลสร้างเสร็จ และมีพิธีเปิดวันที่ 31 มีนาคม 2432 และกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนอนุสาวรีย์วอชิงตัน จนกระทั่งเสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ไปในปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930)หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในกรุงปารีส ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น

จุดถ่ายรูปหอไอเฟลที่ดีที่สุด คือ ลานหน้าปราสาท Palais de Chaillot ใกล้ๆ กับสถานี Trocadéro จากมุมนี้ จะเห็นภาพหอไอเฟลแบบเต็มจอ ไม่มีต้นไม้ เสาไฟฟ้าบังให้เสียอารมณ์ (จะมีก็คือคนอื่นๆ ที่เข้ามาปนอยู่ในกล้องเรา) นักท่องเที่ยวแอ็คท่ากันสุดชีวิต ท่าพิงหอ แบกหอ จับหอ แล้วแต่ใครจะครีเอท เป็นที่เฮฮาของผู้พบเห็นยิงนัก (ซึ่งก็คือนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ นั่นเอง อิอิ)
เมื่อไปถึงแล้ว ไม่ต้องอาย จัดเต็มไปเลย อุตส่าห์มาตั้งไกล รับประกันความประทับใจและความฮา กล้าๆ เข้าไว้ ถ่ายเสร็จเราก็ชิ่ง ใครก็จำเราไม่ได้ แล้วเราก็จะได้มีภาพถ่ายคู่กับหอไอเฟลเป็นที่ระลึกแบบสร้างสรรค์ ไม่ซ้ำใคร อย่างนี้ เป็นต้น ^^

“คนที่เริ่มสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ จึงไม่ควรท้อใจถ้าหากถูกทักว่าไม่เข้าท่า…หรือเป็นไปไม่ได้…”  – ว.วชิรเมธี

ประวัติส่วนตัว chompoo


 

สวัสดีทุกคนที่เข้ามานะค่ะ วันนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของตัวเองค่ะ

ชื่อ: ณัฐกานต์   ประสันแพงศรี     ชื่อเล่น: ชมพู่

อายุ : 13 ปี     เกิดวันที่ : 17 มิถุนายน พ.ศ.2545

ที่อยู่:  ต.ลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ชัยภูมิ 36000

การศึกษา: กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/12 โรงเรียนสตรีชัยภูมิ

นิสัย: เวลาอยู่กับเพื่อนจะเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูด ขี้อาย เพื่อนชอบมองว่าเป็นเด็กเรียบร้อย แต่ถ้าเป็นคนที่สนิทมากก็จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

สิ่งที่ชอบ: ชอบทุกอย่างที่อร่อย

สีที่ชอบ : ชมพู ฟ้า

งานอดิเรก : ดู TV. อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นโทรศัพท์ เล่นดนตรี ทำการบ้าน

ความสามารถพิเศษ: เล่นดนตรีได้ เช่น เปียโน อูคูเลเล่ กีตาร์ คีบอร์ด

ความใฝ่ฝันในอนาคต : อยากศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ในคณะทันตแพทย์ศาสตร์

.

.

.

สำหรับประวัติส่วนตัวก็มีแค่นี้ค่ะ  ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อคนี้ และต้องขอลาไปก่อนนะคะ

 Bye Bye ###